ยะโฮ~ ლ(╹◡╹ლ)
ถึงจะรู้สึกว่าไอ้ขึ้นต้นแบบนี้เนี่ยมันตลกมากก็ตามแต่ไหนๆ ก็ทักทายแบบนี้มาตั้งแต่เริ่มเขียนบล็อกครั้งแรกแล้ว คิดว่าจะเขียนต่อไปก็ไม่เสียหายค่ะ
กลับมาเขียนบล็อกหลังจากผ่านไปแล้วห้าปีได้… อา ตัวฉันตอนนั้นเองก็อยากเขียนบล็อกต่อแต่ก็ขี้เกียจสินะ สมกับเป็นตัวฉันจริงๆ…
เรื่องมันเริ่มจากหลังจากที่เล่นโฮชิเมโมจบแล้ว (แถมเขียนดราฟเอาไว้ในบล็อกแล้วด้วย แต่ขี้เกียจ(…) ถ้ามีโอกาสได้กดพับลิชก็ดีเหมือนกัน) ก็มีความรู้สึกติดลมอยากเล่นเกมแนวนี้อีก
อันที่จริงทีแรกตั้งใจจะเล่นAsterต่อ เพราะเล่นสลับกับโฮชิเมโมมาตั้งแต่ตอนต้นปี แถมหลังจากเล่นตัวทดลองแล้วก็ติดลม รู้สึกจูนติด
แต่ก็มีเหตุผลใหญ่ๆ ที่ถ่วงความเจริญมาตลอดว่า ขี้เกียจ แปล ภา ษา ญี่ ปุ่น …
ค่ะ…. เหตุผลแบบนี้แหละ
ก็เลยมานึกว่ามีเกมไหนนะที่มีแปลอังกฤษแล้วแต่เรายังไม่ได้เล่น แล้วจู่ๆ ก็มีเกมในหัวที่แล่นเข้ามาแว้บหนึ่ง เป็นเกมที่เรารู้จักมาตั้งแต่สมัยม.ต้น หลายๆ เว็บแนะนำให้เล่นเยอะมาก แถมคะแนนรีวิวก็ดี แต่พอเริ่มเล่นปุ้บก็เล่นไม่จบเทไปก่อนเพราะขี้เกียจกับภาษาอังกฤษที่ไม่แข็งแรงเอาซะเลย (เอาเข้าจริงตอนนี้ก็ยังไม่แข็งแรง…)
แหม ไหนๆ ก็อดทนเล่นโฮชิเมโมมาตั้งสี่เดือน ถ้างั้นกะแค่เกมสั้นๆ สองสามชั่วโมงก็น่าจะเล่นได้แล้วนี่นา?
เพราะงั้นก็เลยหยิบเกมนี้มาเล่น ซึ่งจะเป็นเกมที่เราพูดถึงในวันนี้ค่ะ
Narcissu
vndb: https://vndb.org/v10
Narcissu เป็นวิชวลโนเวลรูปแบบKinetic Novel (อ่านอย่างเดียว ไม่มีตัวเลือก) ของเซอร์เคิล Stage-nana เขียนโดยคาตาโอกะ โทโมะ (CEOของค่ายเกมNekoNeko Soft) เผยแพร่ครั้งแรกในปี 2005
นาร์ซิสซัสเป็นเกมที่คาตาโอกะ โทโมะ สร้างมาเพื่อที่จะใช้ตอบคำถามที่ว่า “ถ้ามีแค่ดนตรีประกอบและข้อความจะเพียงพอสำหรับเกมประเภทวิชวลโนเวลหรือไม่”
ซึ่งทำให้เกมนี้มีรูปภาพน้อย (มาก) ไม่มีรูปตัวละครแบบ立ち絵 (พวกรูปตัวละครยืนประกอบในเกม) เหมือนวิชวลโนเวลทั่วไป มีการจัดมุมมองภาพจำกัด และบทพูดที่มีแค่สองบรรทัดต่อการกดอ่านหนึ่งครั้ง อีกทั้งยังมีความแตกต่างกันระหว่างเวอร์ชั่นมีเสียงกับไม่มีเสียง เพื่อที่จะให้ได้รับประสบการณ์ที่แตกต่างกันไปในแต่ละเวอร์ชั่น (ถ้าเป็นเวอร์ชั่นของแฟนซับภาษาอังกฤษจะใช้คนแปลสองคนแยกกันเพื่อให้ได้มุมมองที่ต่างกันไป) เราเล่นเวอร์ชั่นsteamของsekai project สำนวนแปลของทีมแปล insani เวอร์ชั่นมีเสียงค่ะ
นอกจากนี้แล้ว Narcissu ยังมีเกมภาคต่อ (ทั้งprequel, Sequel, Side story) คือ
- Narcissu Side 2nd (2007)
- Narcissu 3rd -Die Dritte Welt- (2009)
- Narcissu 0 (2010)
- Narcissu Sumire (2015)
- Narcissu: Himeko’s Epilogue (2016)
เกมนี้เป็นเรื่องราวของตัวเอกที่ป่วยเป็นโรคร้ายแรงหลังจากผ่านพ้นวันเกิดครบรอบอายุ 20 ปีไม่นาน ทำให้ต้องเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในเมืองมิโตะ จังหวัดอิบารากิ เขาได้เจอกับ “เซ็ตซึมิ” ผู้ป่วยโรคร้ายแรงไม่ต่างจากตัวเขาเองที่อยู่มาก่อนหน้านี้ ทั้งสองคนมีความคิดเห็นตรงกันว่า ไม่อยากตายที่โรงพยาบาล และไม่อยากตายที่บ้านเหมือนกัน
วันหนึ่ง เขาและเซ็ตซึมิได้หนีจากโรงพยาบาลไปพร้อมกับรถคูเป้สีเงิน
มุ่งสู่การเดินทางที่ไม่รู้เลยว่าปลายทางจะอยู่ที่ไหนกันแน่
คำเตือน : ไม่ใช่รีวิว แต่เป็นการบันทึกไว้กลับมาอ่านอีกครั้ง หลังจากข้อความนี้จะมีการเปิดเผยเนื้อหาของเกมค่อนข้างมาก แนะนำว่าถ้ามีโอกาสลองเล่นเองดูค่ะ
ธีมเกมหลักคือ เรื่องราวของคนที่ชีวิตและความตายแทบจะไม่แตกต่างกัน
เกี่ยวกับมุมมองของคนที่ “ยอมจำนนกับทุกอย่างในชีวิต” ไปแล้ว
เพราะปัจจัยใหญ่ที่สุดที่เหนี่ยวรั้งตัวละครทั้งสองคนคือเรื่องโรค สองคนนี้ไม่ใช่คนที่มีสุขภาพร่างกายแข็งแรงแบบคนอื่นๆ เพราะงั้นอะไรต่างๆ ที่เราคิดว่ามันทำได้ง่ายดาย พอมาถูกเล่าผ่านมุมมองของพวกเขาแล้วมันเลยเป็นอะไรที่แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยด้วยซ้ำ เหมือนโลกตัดขาดพวกเขาออกไปจากมัน ซึ่งบทบรรยายทำออกมาได้ดีทีเดียว ต้องชมทีมแปลที่ทำออกมาได้ดีและสละสลวย (ถึงเราจะโง่ภาษาอังกฤษขนาดไหนก็ตามที…)
นาร์ซิสซัสเป็นเกมที่สั้น ถ้าอ่านคล่องๆ ซักประมาณ2-3 ชั่วโมงก็เล่นจบแล้ว โดยจะสลับไปมาระหว่างมุมมองของตัวเอกในเหตุการณ์ต่างๆ ตรงหน้าและมุมมองความคิดของเซ็ตซึมิ ส่วนมากจะมีแค่ตัวบทในเกมประมาณสองบรรทัดกับรูปวิวทิวทัศน์ต่างๆ ประกอบเท่านั้น นานน้านเลยที่จะเห็นหน้าตานางเอกในแต่ละช่วงของเกม
ซึ่งเราคิดว่านี่เป็นจุดแข็งของมัน เพราะมันเป็นการให้เราสามารถโฟกัสไปที่เรื่องราวที่บรรยายออกมา แล้วจินตนาการความรู้สึกที่เกิดขึ้นในรูปแบบของเราเอง
ในส่วนการดำเนินเรื่องก็มินิมอลตามรูปไปด้วย เรียบง่าย มาสองประโยคต่อครั้งอ่านสบายตา ประกอบกับOSTที่ทำออกมาเข้ากับบรรยากาศเกมอย่างเพลิดเพลิน (ดีจนงงว่านี่มันเกมฟรีแน่เหรอ) ทำให้เราสามารถสนุกและดื่มด่ำกับบรรยากาศของเกมได้ จะยากนิดหน่อยตรงที่ สถานที่ต่างๆ ภายในเกมไม่ใช่สถานที่เที่ยวในระดับดังที่คนต่างประเทศของเราจะเข้าใจได้ รวมถึงพวกเส้นทางต่างๆ ที่เกมอธิบายมาด้วย แต่ก็ไม่ได้ทำให้พอยท์ของเกมที่จะสื่อมันหายไปไหน แค่อาจจะรู้สึกงงๆ กับมันไปบ้าง เช่น ดิชั้นเองที่งงกับพวกเส้นทางไฮเวย์ โทรลเวย์ต่างๆ ในหัวมีแต่ภาพทางด่วนเมืองไทย… (แย่จริงๆ)
สำหรับเราแล้ว นาร์ซิสซัสไม่ใช่เกมที่ให้ความรู้สึกสดใส ไม่ใช่เกมที่ต้องร้องว้าวกับความสุดยอดเกินบรรยาย ไม่ใช่เกมที่คอยชี้นำในสิ่งที่เราควรจะทำ และก็ไม่ใช่เกมที่ให้ความรู้สึกเศร้าจนเสียน้ำตา เป็นเกมที่เล่นจบแล้วมีอะไรหลายอย่างให้เราคิดตาม คิดต่อ และติดค้างในหัวค่อนข้างเยอะเอาเรื่อง (จนถึงมาเขียนรีวิวนี้ด้วย)
นาร์ซิสซัสอาจจะไม่ได้ตอบรับความคาดหวังของเราที่รู้จักเกมนี้ในเชิงทำให้รู้สึกประทับใจมากๆ จนยกขึ้นหิ้งขนาดนั้นก็จริง
แต่ถามว่าเราผิดหวังที่เล่นไหม ไม่เลย ดีจริงๆ ที่ยังมีโอกาสได้เล่นซะด้วยซ้ำ บางประโยคที่เจอในเกมก็ใจร้าย จนคิดว่าถ้ายังเป็นช่วงที่เครียดจัดๆ อยู่ถ้ามาเล่นจะเป็นยังไงกันนะ
บางทีอาจจะร้องไห้ไปแล้วก็ได้ละมั้ง?
อนึ่ง ตอนจบของเกมนี้เป็นอะไรที่เราคิดว่าหลายคนน่าจะเดาได้ไม่ยาก เราเองก็รู้สปอยมาก่อนเหมือนกันเพราะน้องสาวเล่นมาก่อน แต่ถึงอย่างนั้นพอเล่นจบปุ้บก็เกิดความรู้สึกอธิบายไม่ถูกขึ้นในอกไปนิดนึงเหมือนกันล่ะ
[สปอยในส่วนคลุมขาว ไม่แนะนำให้อ่านถ้ายังไม่ได้เล่น]
ว่ากันว่า คำว่าNarcissu ที่จงใจตัดตัว s ตัวสุดท้ายออก s ตัวนั้นก็คือคำว่า Suicide พอคิดแบบนี้แล้วก็อืม… เข้ากับเกมนี้ดีจริงๆ ล่ะนะ
จริงๆ ตอนที่เล่นจบแล้วก็แอบช็อกตัวเองไปเหมือนกันนะที่ อ้ะ ก็ไม่ได้ประทับใจจนเสียน้ำตาหรือชอบอะไรขนาดนั้นเลยนี่นา ถึงกับคิดเลยนะว่า หรือว่าเราจะเข้าไม่ถีงมันเหรอ หรือว่าเราไม่ใช่ทาร์เก็ต หรือเราคิดน้อยเกินไปรึเปล่านะ?! ขึ้นมาเลย55555 แต่พออ่านโน๊ตของคนเขียนแล้วถึงพอเข้าใจว่า ไม่ว่าคุณจะรู้สึกแบบไหนก็ตาม เกมก็ได้ทำตามหน้าที่ของมันได้ดีที่สุดแล้ว
และนาร์ซิสซัสเป็นเกมแบบนั้นล่ะค่ะ สั้น เรียบง่าย ขึ้นอยู่กับว่าจะมองในมุมมองแบบไหน
บางทีแล้ว สิ่งที่สำคัญอาจจะไม่ใช่เป้าหมายที่เราต้องไปให้ถึง แต่เป็นการเดินทางของชีวิตก็ได้
Narcissu : 8/10
- เนื้อเรื่องเรียบง่าย ประเด็นหลักของเกมชัดเจน ด้วยความที่เป็นเกมขนาดสั้นเลยทำให้เห็นมุมมองที่ค่อนข้างแคบจนอาจจะไม่เข้าใจมันได้ในทันที ในส่วนคาร์แรคเตอร์ทำออกมาได้ดีทีเดียว เซ็ตซึมิน่ารักมาก ฮือๆๆๆ
- ภาพประกอบค่อนข้างน้อยก็จริงแต่ก็ทำออกมาได้ดี ภาพตัวละครน่ารัก (มาก)
- OSTอยู่ในระดับดีเข้ากับบรรยากาศเกม แต่เพราะเกมมันสั้น OSTมันก็จะวนๆ ใช้อยู่แบบนั้นแหละ ถ้าไม่ชอบอาจจะเบื่อ